33 จำนวนผู้เข้าชม |
ในอดีตวันที่โลกยังไม่เปิดรับความหลากหลายอย่างเต็มที่และความรักของชาว LGBTQ+ ยังถูกมองว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ดอกไม้จึงไม่ใช่แค่สิ่งสวยงามอีกต่อไป แต่มันกลายเป็น ‘จดหมายลับ’ ที่ซ่อนความหมายบางอย่างเอาไว้เบื้องหลังสีสันและกลิ่นหอมอ่อนๆ
และในวันนี้… เมื่อโลกพร้อมเปิดใจให้ทุกความหลากหลาย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5 ดอกไม้สำคัญ ที่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและเป็นตัวแทนของ “ชาวธงสีรุ้ง” ให้รู้จักกันมากขึ้น
1. ดอกลาเวนเดอร์
ดอกลาเวนเดอร์สีม่วงที่ใครหลายคนหลงรัก ด้วยกลิ่นหอมละมุนและภาพลักษณ์ของความอ่อนโยน การรอคอย และความทรงจำแสนงดงาม แท้จริงแล้วมีอดีตที่ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 คำว่า "Lavender lads" และ "Streak of Lavender" ถูกใช้เป็นคำเหยียดผู้ชายที่มีลักษณะหรือพฤติกรรมออกไปทางเพศหญิง ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้ล้วนนี้มีนัยที่แสดงออกถึงการเหยียดเพศ ในปัจจุบันมีการรณรงค์ไม่ให้ใช้คำเหล่านี้แล้ว และต่อมาในยุค 1950 สหรัฐฯ ได้ใช้ชื่อว่า 'ความหวาดกลัวลาเวนเดอร์' (Lavender scare) ในการกวาดล้างกลุ่มรักร่วมเพศออกจากตำแหน่งงานราชการ ด้วยข้ออ้างว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
จากเหตุการณ์ Lavender Scare ทำให้พนักงานรัฐกว่า 5,000 คนถูกไล่ออก และมีอีกนับหมื่นที่ต้องตกงานเพียงเพราะรสนิยมทางเพศ หลายคนถึงกับจบชีวิตตัวเองเพราะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้ เหตุการณ์นี้จุดกระแสการต่อสู้เรียกร้องสิทธิของชาว LGBTQ+ ที่ยาวนานเกือบ 50 ปี ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะยกเลิกข้อห้ามไม่ให้คนรักเพศเดียวกันทำงานราชการในปี 1998
2. ดอกคาร์เนชั่นสีเขียว
ครั้งหนึ่ง "ดอกคาร์เนชันสีเขียว" เคยเป็นสัญลักษณ์แทนความรักระหว่างเพศเดียวกัน โดยมีจุดเริ่มจาก “ออสการ์ ไวล์ด” นักเขียนชื่อดัง ผู้มักติดดอกไม้ชนิดนี้บนปกเสื้อเป็นประจำ ซึ่งภายหลังเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มรักร่วมเพศ และถูกตัดสินจำคุกในข้อหากระทำการสังวาสผิดธรรมชาติ
หนึ่งในผลงานสร้างชื่อของ ออสการ์ ไวล์ด คือ The Picture of Dorian Gray นวนิยายที่มีตัวละครรักเพศเดียวกัน ซึ่งกลายเป็นชนวนสำคัญให้เขาถูกตั้งข้อหา “กระทำผิดธรรมชาติ” ในปี 1895 เพราะในยุคนั้น ความรักระหว่างเพศเดียวกันยังถือว่าผิดกฎหมาย นอกจากงานเขียนแล้ว ดอกคาร์เนชันสีเขียวที่เขาติดไว้บนปกเสื้อเป็นประจำ ก็ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มรักร่วมเพศ แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเขาตั้งใจเช่นนั้น
ในเวลาต่อมา นวนิยาย The Green Carnation ที่มีเนื้อหาเสียดสีความสัมพันธ์ของไวล์ดกับลอร์ดอัลเฟรด ดักลาส ถูกใช้เป็นหนึ่งในหลักฐานในชั้นศาล แม้จะไม่มีน้ำหนักมากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาถูกจำคุก 2 ปี และถูกเนรเทศไปฝรั่งเศส ก่อนจะเสียชีวิตในวัยเพียง 46 ปี
3. ดอกไวโอเลต
ในศตวรรษที่ 20 ดอกไวโอเลตเริ่มถูกเชื่อมโยงกับความรักแบบหญิงรักหญิง โดยได้รับอิทธิพลจากตำนานของ “แซฟโฟ” กวีหญิงชาวกรีกโบราณจากเกาะเลบอส
บทกวีของแซฟโฟมักพรรณาถึงหญิงสาวสวมหรีดดอกไวโอเลต ซึ่งต่อมาถูกตีความว่าเป็นการสื่อถึงความหลงใหลในหญิงสาวคนรัก แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่แซฟโฟและดอกไวโอเลตก็กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกลุ่มเลสเบี้ยนในเวลาต่อมา
ต่อมาในปี 1926 ดอกไวโอเลตปรากฏอีกครั้งในละคร The Captive ซึ่งมีฉากที่ตัวละครหญิงมอบดอกไม้ให้กัน เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวของทั้งสอง ละครถูกสั่งงดฉายเพราะ “ขัดต่อศีลธรรม” จนเกิดกระแสต้านในหมู่หญิงรักหญิง ผู้คนเริ่มสวมเสื้อสีม่วง ติดดอกไวโอเลตที่เสื้อหรือเข็มขัดเพื่อประท้วงเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่เห็นด้วยต่อการปลดละครในครั้งนี้
4. ดอกเพนซี
ดอกแพนซี หรือที่บางคนเรียกว่าดอกหน้าแมว ด้วยสีสันสดใสและรูปลักษณ์ที่ดูแสบซ่า กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของวัฒนธรรมแดร็กควีน และการเคลื่อนไหวต่อต้านการเกลียดชังผู้มีความหลากหลายทางเพศ (Homophobia)
ในช่วงปี 1950-1960 ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนเกิดเหตุการณ์สำคัญอย่างการจลาจลที่บาร์ Stonewall Inn วัฒนธรรมแดร็กควีนเริ่มเฟื่องฟูในบาร์ใต้ดินและคลับของกลุ่ม LGBTQ+ การแสดงเหล่านี้ถูกเรียกว่า "Pansy Craze" ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก “ดอกแพนซี” ที่สะท้อนถึงความกล้า ความขบถ และการเปล่งประกายความเป็นตัวของตัวเองท่ามกลางสังคมที่ยังไม่เปิดกว้าง
นอกจากดอกแพนซีจะเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าและการแสดงตัวตนของชาว LGBTQ+ แล้ว ในปี 2005 ยังมีศิลปินชาวอังกฤษชื่อ พอล ฮาร์ฟลีต (Paul Harfleet) ที่ริเริ่มโครงการที่น่าประทับใจชื่อว่า "The Pansy Project" เพื่อเป็นการต่อต้านความเกลียดชังต่อคนรักเพศเดียวกันและคนข้ามเพศ
แรงบันดาลใจของพอลมาจากประสบการณ์ส่วนตัวในวัยเด็ก เขาเคยถูกกลั่นแกล้งและถูกเรียกด้วยคำเหยียดว่า “Big Pansy” ซึ่งเป็นคำแสลงที่ใช้เรียกเกย์ที่มีท่าทางอ่อนหวานหรือออกสาว พอลจึงเลือก “ดอกแพนซี” ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคำดูถูก กลับมาเปลี่ยนความหมายให้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรี ความหวัง และการเยียวยา
เขานำดอกแพนซีไปปลูกในสถานที่ต่างๆ ที่เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงหรือการเลือกปฏิบัติต่อชาว LGBTQ+ ทั้งในลอนดอน ปารีส เบอร์ลิน นิวยอร์ก และวอชิงตันดีซี เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าครั้งหนึ่งมีใครบางคนเคยเจ็บปวดที่ตรงนั้น และเพื่อส่งข้อความว่า "เราไม่ควรถูกลืม" แคมเปญนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งสื่อและคนทั่วไป จนกลายเป็นอีกหนึ่งแรงผลัดดันในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม
5. ดอกกุหลาบ
ดอกกุหลาบ ดอกไม้ที่ใครหลายคนคุ้นเคยในฐานะสัญลักษณ์แห่งความรัก แท้จริงแล้วยังมีความหมายลึกซึ้งในฐานะตัวแทนของ 'กลุ่มคนข้ามเพศ' (Transgender People) ด้วยเช่นกัน
“โปรดมอบกุหลาบแก่เราขณะยังมีชีวิต” (Give us our roses while we’re still here) คือประโยคที่ใช้ระลึกถึงกลุ่มคนข้ามเพศที่จบชีวิตลงจากกระแสความเกลียดชัง ในทุกวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันสนับสนุนสิทธิของกลุ่มคนข้ามเพศสากล
ประโยคนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานศิลปะชื่อ Forward Together ของสองศิลปินและนักเคลื่อนไหวอย่าง B Parker และ Micah Bazant ที่ต้องการเรียกร้องให้สังคมหันมาเห็นคุณค่าและยกย่องคนข้ามเพศในขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพียงไว้อาลัยหลังจากสูญเสียไปแล้ว
ทั้งคู่ให้สัมภาษณ์กับ HuffPost ว่า พวกเขาเลือกใช้ดอกกุหลาบในงานนี้ เพราะดอกกุหลาบคือดอกไม้ที่มักถูกมอบให้เพื่อแสดงความรัก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นดอกไม้ที่มักใช้ในการไว้อาลัยเมื่อเกิดการสูญเสีย เช่นในพิธีศพหรือฉากภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่เรามักเห็นคนโยนดอกกุหลาบลงในหลุมฝังศพเพื่อแสดงความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย เพราะฉะนั้น “การมอบกุหลาบให้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่” จึงกลายเป็นคำเชิญชวนให้เราแสดงความรัก ความเคารพ และการยอมรับต่อคนข้ามเพศ
"คนเราก็เหมือนดอกไม้" ต่างคนต่างสี ต่างรูปทรง แต่ทุกดอกนั้นย่อมมีความงามในแบบของตัวเอง
ความแตกต่างไม่ใช่สิ่งที่ผิดแปลก แต่มันคือสิ่งพิเศษ ที่ทำให้โลกใบนี้มีสีสันและความหลากหลาย แต่ละคนต่างมีเอกลักษณ์ มีมุมมอง มีตัวตนที่ไม่เหมือนกัน และนั่นคือสิ่งที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น